Technical Average (TA) คืออะไร หลายๆ คนอาจสงสัยหรือไม่เคยได้ยิน ไม่แปลกหรอกครับเพราะเป็นวิธีที่ผมคิดขึ้นมาเอง
โดยพัฒนาต่อจากวิธี DCA (Dollar Cost Average) และ VA (Value Average) ซึ่งเป็นการสะสมหุ้นด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กันในทุกๆ เดือนและเป็นการลงทุนระยะยาว วิธีทั้ง DCA และ VA เหมาะกับนักลงทุนหรือมนุษย์เงินเดือนที่ไม่ค่อยมีเวลาในการเฝ้าการลงทุนเท่าไรนัก สำหรับวิธีทั้งสองสามารถหาได้จาก website ทั่วไปนะครับ โดยผมจะเอามาอธิบายให้ในบทความอื่นของผมในภายหลังครับ
โดยวิธี DCA และ VA จะทำการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน เช่น ถ้าคุณกำหนดให้แต่ละเดือนของคุณลงทุนด้วยเงิน 5,000 บาทในทุกๆ เดือน ซึ่ง DCA ที่นิยมกันจะทำการเลือกหุ้นที่จะซื้อโดยดูจากลักษณะของหุ้นคือ "เงินปันผล" หรือ "หุ้นเติบโต" เพื่อสะสมหุ้นในเวลานั้นๆ โดยไม่ต้องสนใจราคา
มาลองดูความต่างของ TA กันครับ โดย TA จะเป็นการสะสมเงินเข้า Port หุ้นของเราทุกๆ เดือน เสมือนเงินเก็บ และจะเข้าซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อเกิดสัญญาณทางเทคนิคอย่างใดอย่างหนึ่งที่เรากำหนด โดยเป็นการซื้อด้วยจำนวนเงินที่สะสมมา ณ เวลานั้นๆ เนื่องจากเป็นการนำเงินเข้า port ทุกเดือนดังนั้นจะมีช่วงเวลาที่เราไม่สามารถลงทุนได้ ผมเรียกว่าช่วงสะสม (Collective) และเมื่อเกิดสัญญาณเทคนิคที่ต้องการก็จะทำการซื้อทันที โดยใช้คำสั่งล่วงหน้า ความถี่ในการตรวจสอบขึ้นอยู่กับ Time frame (TF) ที่ใช้ครับ ผมแนะนำให้ใช้ TF Day โดยคุณสามารถตรวจสอบจังหวะเข้าซื้อได้หลังจากเลิกงานแล้วครับ มีวิธีการดังนี้ครับ
TA Strategies
0. กำหนดระยะเวลาที่ต้องการลงทุน ตั้งแต่ 2-5 ปีนะครับใครจะนานกว่านี้ก็ไม่ว่าครับ สำหรับเงินที่จะใช้ในแต่ละเดือนต้องเป็นเงินเก็บที่จะไม่นำออกมาใช้ตลอดระยะเวลาการลงทุนนะครับ
1. เลือกหุ้นที่ต้องการทำ TA โดยดูจากปันผล มีคนรู้จัก และคาดว่าธุรกิจจะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างน้อย 5 ปี เป้นหลักครับ โดยสามารถเลือกลงทุนได้มากกว่า 1 หุ้นนะครับ โดยให้แบ่งสัดส่วนของเงินให้เหมาะสม
2. เลือกใช้สัญญาณ Technical มา 1 สัญญาณ ในที่นี้ผมเลือกใช้ Price cross EMA(10) ครับ หรือราคาข้ามเส้น EMA แล้วเข้าซื้อ
3. กรณีที่เมื่อซื้อแล้วเกิดหุ้นลงให้ถือไว้ครับ เพราะเป็นการสะสมรอให้เกิดสัญญาณรอบใหม่ค่อยเข้าซื้อ โดยระหว่างนี้ก็จะทำการสะสมเงินไปด้วย
4. หากซื้อแล้วหุ้นขึ้นและราคายังยืนเหนือเส้น EMA โดยไม่ตัดลงมาก็ไม่ต้องขายครับ หรือถ้าราคาตัดลงมาแล้วขาดทุนก็ไม่ขายเช่นกัน วิธีนี้จะขายเมื่อเขียวหรือได้กำไรเท่านั้น
5. เมื่อราคาตัดเส้น EMA ลงให้ขายออกก่อนแล้วเข้าสู่ช่วง Collective อีกครั้งเพื่อราสัญญาณซื้อครับ
มาดูตัวอย่าง ไม่ต้องสนใจชื่อหุ้นนะครับ เป็นแค่กราฟตัวอย่างเท่านั้นครับ
ผมเริ่มลงทุนทุกวันที่ 1 ของเดือน โดยฝากเดือนละ 5,000 บาท เริ่มต้นวันที่ 1 เดือนธันวาคม 2558 โดยใช้ time frame day
ตามกราฟ จะเห็นว่าราคาหุ้นอยู่ที่ 66.75 ตามราคาปิดของวัน ซึ่งผมไม่สามารถซื้อหุ้นได้เนื่องจากเงินไม่พอครับ กรณีที่เราไม่ซื้อแบบ Odd lot จะต้องซื้ออย่างน้อย 100 หุ้นครับ ดังนั้นเดือนนี้ผมจะไม่ทำอะไรผมจะมี เงินสด=5,000 บาท, หุ้น=0 หุ้นครับ พอเดือนมกราคม 2559 ผมเพิ่มเงินลงทุนไปอีก 5,000 บาท
สำหรับเดือนนี้ผมมีเงินทั้งหมด 10,000 บาท ซึ่งสามารถซื้อหุ้นได้แล้วครับ แต่จะเห็นว่าราคา ณ วันที่ 4 มกราคม 2559 (1-3 วันหยุดปีใหม่ครับตลาดปิด) ราคายังอยู่ใต้เส้น EMA(10) ดังนั้นก็ยังไมลงทุนครับ โดยผมจะคอยดูราคาหลังตลาดปิดทุกวันนับจากนี้เพื่อหาจังหวะครับ
หลังจากนั้นก็ถือไว้ครับจะเห็นว่าระหว่างถือมีบางช่วงที่ราคาลงไปกว่าราคาซื้อ แต่อย่างที่ผมบอกครับวิธีนี้ขายเมื่อเขียวหรือได้กำไรเท่านั้น ผมจะเพิ่มเงินในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 อีก 5,000 บาท ทำให้ตอนนี้ผมมีเงิน = 9950 และมีหุ้น 100 หุ้น (มูลค่า ณ วันที่ 1 ก.พ. 59 = 5,600 บาท) เหมือนไม่เยอะนะแต่อย่าลืมว่าผมใช้เงินลงทุนน้อยนะครับ จากกราฟผมยังไม่ซื้อเพิ่มนะครับเพราะยังไม่อยู่ในเงื่อนไขคือราคายังไม่ตัดเส้น EMA(10) จะเห็นว่าหลายวันต่อมามีราคาตัดลงแต่ผมก็ยังไม่ขายเช่นกัน
ผมตัดสินใจซื้อเพิ่มอีก 100 หุ้นที่ ATO เนื่องจากวันก่อนหน้าราคาลงมาตัดเส้น EMA แล้วกลับมายืนเหนือได้ โดยได้ราคาที่ 55.75 จำนวน 100 หุ้นทำให้ผมมีจำนวนหุ้นเท่ากับ 200 หุ้นและมีราคาเฉลี่ยที่ 53.125 (มูลค่า = 10,625) เงินสด=4375 ณ วันที่ 18 ก.พ. 59
วันที่ 1 มีนาคม 2559 ผมนำเงินเพิ่มอีก 5,000 ตามที่กำหนดไว้ในแต่ละเดือนทำให้ตอนนี้ผมมีเงินสด = 9,375 บาทและในวันต่อมาผมตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่มที่ ATO อีก 100 หุ้นเนื่องจากราคาข้ามเส้น EMA แล้วกลับมายืนเหนือเส้นได้ ที่ราคา 59 บาท ทำให้ตอนนี้ผมมีหุ้น = 300 หุ้นที่ราคาเฉลี่ย 55 บาท (มูลค่า 16,500) หลังจากนั้นก็รอครับ สังเกตุเห็นมีการเปิด gap ที่ค่อนข้างแรงและราคาไม่วิ่งขึ้นไปทำให้ผมตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดที่ราคา ATO ของวันถัดมาที่ 64 บาท (มูลค่า= 19,200) ทำให้ผมมีเงินสดรวมทั้งหมด = 28,575 จะเห็นว่าผมฝากเงินทั้งหมด 4 ครั้งเป้นเงิน 20,000 บาท แต่เงินปัจจุบันมี 28,575 จึงหมายถึงผมได้กำไรด้วยวิธีนี้ =30% ใน 4 เดือน หลายคนคงมองว่าน้อยนะครับ แต่อย่าลืมว่าวิธีนี้เสี่ยงน้อยก็ได้ผลตอบแทนน้อยครับ สำหรับสัญญาณซื้อครั้งต่อไปยังไม่มีครับ ก็รอและสะสมเงินไปก่อนครับ โดยผมฝากเงินเพิ่มในวันที่ 1 เมษายน 2559 ทำให้มีเงินสด = 33,575 เพื่อรอโอกาสครั้งต่อไป
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับวิธีการลงทุนแบบ TA หวังว่าคงพอจะเข้าใจกันบ้างนะครับ โดยตัวอย่งที่ผมให้ดูยังไม่ใช่ของจริงนะครับเนื่องจากไม่ได้คิดค่าคอมมิขขั่นและ VAT ด้วย สำหรับวิธีนี้ผมจะทำ port จำลองขึ้นมาให้ดูด้วยครับ ระยะเวลาการลงทุน 20 ปี ฝากทุกเดือนๆ ละ 3,000 บาทเป็น port ที่ผมจะสร้างไว้ให้ลูกครับ หลายคนอาจบอกว่าทำไมลงทุนน้อย ผมจะบอกว่าผมใช้เงินที่ไม่เดือดร้อนในการลงทุนครับเงินเท่านี้ผมไม่เดือดร้อนผมก็ลงเท่านี้ครับไว้มีรายได้เพิ่มก็ค่อยเพิ่มจำนวนเงิน อีกอย่างเป็น port ที่ผมทำให้ดูดังนั้นไม่อยากใช้เงินเยอะด้วยครับ โดย port นี้ผมอาจจะเปิดให้ดูใน 3-5 ปีเท่านั้นนะครับหลังจากนั้นเมื่อจำนวนเงินเริ่มเยอะขึ้นผมจะขอไม่แสดงครับ ติดตาม port นี้ได้ทาง blog ผมนี่ละครับ
ลองนำวิธีการนี้ไปลองใช้ดูนะครับ ผมขอบอกว่าเหมาะกับมนุษย์เงินเดิอนแบบผมนี่ละครับ คิดว่าดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารก็พอครับ เสี่ยงน้อยได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ผมว่าน่าจะเหมาะกับหลายๆ คนด้วยนะครับ
เน ขั้นเทพ
ขอบคุณ อจ.เน เป็นอย่างสูงครับ
ตอบลบ